วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ลำดับชั้นหิน

ลำดับชั้นหิน

วิชาลำดับชั้นหิน (อังกฤษ: Stratigraphy) เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งว่าด้วยรูปแบบ การวางตัว การแผ่กระจาย การสืบลำดับอายุ (chronolgic succession) การจำแนกชนิดและสัมพันธภาพของชั้นหิน (และหินอย่างอื่นที่สัมพันธ์กัน) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดที่มีอยู่ในหิน เป็นเกณฑ์กำหนดแบ่ง เพราะฉะนั้นวิชานี้จะมีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิด องค์ประกอบสภาพแวดล้อม อายุ ประวัติ สัมพันธภาพที่มีต่อวิวัฒนาการของสิ่งที่มีชีวิต ตลอดจนลักษณะอื่น ๆ ของชั้นหิน สรุปว่า ในการจำแนกลำดับชั้นหิน หินทุกชนิดไม่ว่าจะวางตัวเป็นชั้นหรือไม่เป็นชั้น ก็อยู่ภายในขอบข่ายทั่วไปของวิชาลำดับชั้นหินและการจำแนกลำดับชั้นหินนี้ด้วยเพราะหินเหล่านั้นสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดหรือเกี่ยวเนื่องกันกับชั้นหิน
สรุปก็คือวิชาลำดับชั้นหินเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางแนวตั้งและทางข้างทั้งหลายของหินตะกอนโดยความสัมพันธ์เหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นจากพื้นฐานของคุณสมบัติในทางกายภาพและทางเคมีลักษณะทางบรรพชีวิต ความสัมพันธ์ด้านอายุ และคุณสมบัติทางธรณีฟิสิกส์ซึ่งใช้กันมากในปัจจุบัน ก่อนปี ค.ศ. 1970 นั้น วิชาลำดับชั้นหินจะเกี่ยวข้องส่วนใหญ่กับแนวความคิดแบบดั้งเดิมทั้งหลายของ การลำดับชั้นหินตามอายุกาล

ส่วนประกอบและขั้นตอนของวิชาลำดับชั้นหิน[แก้]

ส่วนประกอบและขั้นตอนของวิชาลำดับชั้นหินซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงอยู่กับลักษณะหินและลักษณะทางชีวภาพนั้น สามารถสรุปแสดงเป็นตารางได้ดังต่อไปนี้


กฎวิชาลำดับชั้นหิน (Principles of Stratigraphy)[แก้]

กฎข้อแรกของวิชาลำดับชั้นหินก็คือ กฎของการวางตัวตามแนวนอนตอนเริ่มต้น (Law of original horizontality) ซึ่งกล่าวได้ว่า ถ้าไม่คำนึงถึงสภาพการวางตัวของชั้นหินที่เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ชั้นหินเหล่านั้นได้สะสมตัวในตอนเริ่มต้นเป็นชั้นที่วางตัวตามแนวนอนหรือเกือบตามแนวนอน และขนานหรือเกือบขนานกับพื้นผิวโลก ดังนั้นถ้าชั้นหินที่พบในปัจจุบันมีการเอียงเทหรือตลบทับแล้ว ชั้นหินดังกล่าวจะต้องถูกรบกวนมาตั้งแต่ที่มันได้สะสมตัวในตอนเริ่มต้นตามแนวนอนเป็นต้นมา
เนื่องจากตะกอนได้สะสมตัวเป็นชั้นตามแนวนอน มันจึงมีประโยชน์สำหรับการกำหนดอายุสัมพัทธ์ นอกจากนี้ยังมี กฎของลำดับชั้น (Law of superposition) ซึ่งเป็นกฎทั่วไปที่ใช้ในทางธรณีกาล เกี่ยวกับการลำดับชั้นหิน หรือหินอัคนีผุที่ยังไม่มีการเลื่อนย้อนหรือตลบทับของชั้นหิน ในกฎการลำดับชั้นให้ถือว่า ชั้นหินที่มีอายุอ่อนกว่าวางทับอยู่บนชั้นหินที่มีอายุแก่กว่า
ดังนั้น ในพื้นที่ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนลักษณะการแปรสัณฐาน (tectonic deformation) หลังการสะสมตัวของตะกอน เราสามารถลำดับชั้นหินทั้งหลายที่ปรากฏอยู่นั้นได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยกฎดังกล่าวข้างต้น แต่ในพื้นที่ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการแปรสัณฐาน เช่น ชั้นหินถูกตลบทับ ในกรณีดังกล่าวนี้จะต้องค้นหาตัวชี้บอกเพื่อใช้เป็นเกณฑ์กำหนดว่า ชุดหินดังกล่าวอยู่ในลำดับตามปกติของการสะสมตัว หรืออยู่ในลำดับที่พลิกกลับ (รูปภาพที่ 1) โดยทั่วไปนั้นจะต้องมีตัวชี้บอกมากกว่าหนึ่งอย่าง เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่าชั้นหินดังกล่าวถูกตลบทับจริง
Johanes Walther ได้พัฒนา กฎของลักษณะปรากฏ (Law of lateral continuity) ซึ่งกล่าวได้ว่าชั้นหินได้สะสมตัวเป็นชั้นที่ต่อเนื่องไปตลอดแอ่งสะสมตัวและอาจถูกเทียบสัมพันธ์กันได้ แม้จะอยู่ห่างกันออกไปก็ตาม (รูปภาพที่ 3)
กฎพื้นฐานอีกประการหนึ่งของวิชาลำดับชั้นหินก็คือ กฎของความสัมพันธ์กันของการตัดขวาง (Law of cross - cutting relationships) และผลที่ตามมาของกฎดังกล่าวนี้คือ กฎของสิ่งปะปนเข้าไป (Law of inclusions) ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้จะถือว่าสิ่งใดก็ตามที่ตัดผ่านชั้นหินตะกอนจะมีอายุอ่อนกว่าชั้นหินดังกล่าว ดังนั้นพนัง (dike) ที่ตัดผ่านชั้นหินตะกอนก็จะมีอายุอ่อนกว่าชั้นหินตะกอนนั้น ในทำนอนเดียวกัน สิ่งที่ปะปนเข้าไป เช่น เศษหินหรือเปลือกหอยในหินกรวดมน จะต้องมีอายุแก่กว่า และจะต้องมีอยู่ก่อนที่ชั้นหินดังกล่าวได้สะสมตัวขึ้น
รูปภาพที่ 1 ภาพหินโผล่บริเวณจังหวัดเลย ที่แสดงให้เห็นชั้นหินที่ถูกกระทำให้คดโค้งและมีลักษณะทางโครงสร้างของหินตะกอน ซึ่งมีประโยชน์ในการจำแนกว่าชั้นหินดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งตามปกติ (หันด้านบนขึ้น) อยู่ในตำแหน่งในแนวตั้ง หรือถูกตลบทับเอาไว้ ที่มา Neawsuparpa,et al., (2005)





การขาดหายไปของการบันทึกชั้นหิน[แก้]

เนื่องจากกระบวนการบนผิวโลกมีทั้งการสะสมตัว (sedimentation) และการกร่อน (erosion) เกิดขึ้นแตกต่างกันไป ทั้งในเชิงปริมาณและสถานที่มาตลอดธรณีกาล ดังนั้นอัตราของการเปลี่ยนแปลงจึงมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละแห่ง ซึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่าง การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การกร่อน และการสะสมตัว โดยเฉพาะการกร่อนนั้นจะทำลายการบันทึกชันหินไปซึ่งทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์ และทำให้เกิดแนวชั้นไม่ต่อเนื่อง (unconformities) ขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ในช่วงธรณีกาลดังกล่าว ไม่มีการสะสมตัวแสดงให้เห็นเอาไว้อีกด้วย การขาดหายไปของเวลาที่ถูกแสดงไว้ด้วยแนวชั้นไม่ต่อเนื่องดังกล่างเรียกว่า hiatus (รูปภาพที่ 4 )
ตามปกติแนวชั้นไม่ต่อเนื่อง (unconformities) จะแสดงถึงการรบกวนที่รุนแรงต่อระบบการสะสมตัว และมักจะใช้แทน hiatus ที่ยาวนาน สำหรับการหายไปเป็นเวลาสั้น ๆ การสะสมตัวซึ่งเกิดจากการแปรเปลี่ยนไปตามปกติเกี่ยวกับสภาพทั่วไปลักษณะหนึ่ง โดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้นในรูปแบบทางหินตะกอนตามปกตินั้น จะเรียกว่า ชั้นว่างตะกอน (diastem) ซึ่งก็คือ ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ว่างเว้น จากการสะสมตัวของตะกอนนั่นเอง

การจำแนกของชั้นหิน (Stratigraphic Classification)[แก้]

การจำแนกลำดับชั้นหินหมายถึง ระบบการจัดระเบียบของชั้นหินในโลกซึ่งมีอยู่ตามปกติ ให้เข้าเป็นหมู่ต่าง ๆ ได้ถือเอาลักษณะทางกายภาพ คุณสมบัติหรือคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งที่อยู่ในหินเป็นเกณฑ์กำหนดแบ่ง และเนื่องจากคุณภาพในชั้นหินที่เป็นประโยชน์ในการจำแนกมีต่าง ๆ กันมากมาย การจำแนกลำดับหินชั้นจึงมีหลายลักษณะ


ประเภทจำแนกลำดับชั้นหิน (Categories of stratigraphic classification)[แก้]

ลำดับชั้นหินจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
  • การลำดังชั้นตามลักษณะหิน (Lithostratigraphy) : การลำดับชั้นหินด้วยการรวมชั้นหินเข้าด้วยกันเป็นหมวดต่าง ๆ โดยอาศัยลักษณะทางกายภาพของหินเป็นเกณฑ์กำหนด
  • การลำดับชั้นหินตามชีวภาพ (Biostratitraphy) : การลำดับชั้นหินด้วยการรวบรวมชั้นหินเข้าด้วยกันเป็นหน่วยต่าง ๆ โดยอาศัยซากดึกดำบรรพ์ที่ปรากฏอยู่ในชั้นหินเป็นเกณฑ์กำหนด
  • การลำดับชั้นหินตามอายุกาล (Cronostratitraphy) : การลำดับชั้นหินด้วยการรวมชั้นหินเข้าด้วยกันเป็นหน่วยต่าง ๆ โดยอาศัยอายุและความสัมพันธ์ทางกาลเวลาของหินเป็นเกณฑ์กำหนด
  • การลำดับชั้นหินตามลักษณะอื่น ๆ


Stratigraphy is a branch of geology which studies rock layers (strata) and layering (stratification). It is primarily used in the study of sedimentary and layered volcanic rocks. Stratigraphy includes two related subfields: lithologic stratigraphy or lithostratigraphy, and biologic stratigraphy or biostratigraphy.


สุขภาพ

สุขภาพ

สุขภาพหมายถึงระดับของประสิทธิภาพเชิงการทำงานหรือเชิงเมตาบอลิกของสิ่งมีชีวิตสำหรับมนุษย์นั้นโดยทั่วไปและตามนิยามขององค์การอนามัยโลกหมายถึงสภาวะอันสมบูรณ์ของภาวะทางกาย จิต จิตวิญญาณ และสังคมของบุคคล อันมิได้หมายถึงความปราศจากโรคหรือความบกพร่องเพียงอย่างเดียว แม้นิยามนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในประเด็นของความไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนหรือประเด็นปัญญาที่ตามมาจากการใช้คำว่า "สมบูรณ์" ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอยู่ ระบบจำแนกประเภทต่างๆ เช่น Family of International Classifications ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งประกอบด้วย International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) และ International Classification of Diseases (ICD) เป็นเกณฑ์ที่เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในการนิยามและวัดองค์ประกอบของสุขภาพ

Health is the level of functional or metabolic efficiency of a living organism. In humans, it is the general condition of a person's mind and body, usually meaning to be free from illness, injury or pain (as in "good health" or "healthy").[1] The World Health Organization (WHO) defined health in its broader sense in 1946 as "a state of complete physical, mental, and social well-being and not merely the absence of disease or infirmity."[2][3] Although this definition has been subject to controversy, in particular as lacking operational value and because of the problem created by use of the word "complete," it remains the most enduring.[4][5] Other definitions have been proposed, among which a recent definition that correlates health and personal satisfaction.[6][7] Classification systems such as the WHO Family of International Classifications, including the International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) and the International Classification of Diseases (ICD), are commonly used to define and measure the components of health.
Systematic activities to prevent or cure health problems and promote good health in humans are undertaken by health care providers. Applications with regard to animal health are covered by the veterinary sciences. The term "healthy" is also widely used in the context of many types of non-living organizations and their impacts for the benefit of humans, such as in the sense of healthy communities, healthy cities or healthy environments. In addition to health care interventions and a person's surroundings, a number of other factors are known to influence the health status of individuals, including their background, lifestyle, and economic, social conditions, and spirituality; these are referred to as "determinants of health." Studies have shown that high levels of stress can affect your health.[8]

Determinants[edit]

Generally, the context in which an individual lives is of great importance for both his health status and quality of life. It is increasingly recognized that health is maintained and improved not only through the advancement and application of health science, but also through the efforts and intelligent lifestyle choices of the individual and society. According to the World Health Organization, the main determinants of health include the social and economic environment, the physical environment, and the person's individual characteristics and behaviors.[9]
More specifically, key factors that have been found to influence whether people are healthy or unhealthy include the following:[9][10][11]



An increasing number of studies and reports from different organizations and contexts examine the linkages between health and different factors, including lifestyles, environments, health care organization, and health policy – such as the 1974 Lalonde report from Canada;[11] the Alameda County Study in California;[12] and the series of World Health Reports of the World Health Organization, which focuses on global health issues including access to health care and improving public health outcomes, especially in developing countries.[13]
The concept of the "health field," as distinct from medical care, emerged from the Lalonde report from Canada. The report identified three interdependent fields as key determinants of an individual's health. These are:[11]
  • Lifestyle: the aggregation of personal decisions (i.e., over which the individual has control) that can be said to contribute to, or cause, illness or death;
  • Environmental: all matters related to health external to the human body and over which the individual has little or no control;
  • Biomedical: all aspects of health, physical and mental, developed within the human body as influenced by genetic make-up.
The maintenance and promotion of health is achieved through different combination of physical, mental, and social well-being, together sometimes referred to as the "health triangle."[14][15] The WHO's 1986 Ottawa Charter for Health Promotion further stated that health is not just a state, but also "a resource for everyday life, not the objective of living. Health is a positive concept emphasizing social and personal resources, as well as physical capacities."[16]
Focusing more on lifestyle issues and their relationships with functional health, data from the Alameda County Study suggested that people can improve their health via exercise, enough sleep, maintaining a healthy body weight, limiting alcohol use, and avoiding smoking.[17] The ability to adapt and to self manage have been suggested as core components of human health.[18]
The environment is often cited as an important factor influencing the health status of individuals. This includes characteristics of the natural environment, the built environment, and the social environment. Factors such as clean water and air, adequate housing, and safe communities and roads all have been found to contribute to good health, especially to the health of infants and children.[9][19] Some studies have shown that a lack of neighborhood recreational spaces including natural environment leads to lower levels of personal satisfaction and higher levels of obesity, linked to lower overall health and well being.[20] This suggests that the positive health benefits of natural space in urban neighborhoods should be taken into account in public policy and land use.
Genetics, or inherited traits from parents, also play a role in determining the health status of individuals and populations. This can encompass both the predisposition to certain diseases and health conditions, as well as the habits and behaviors individuals develop through the lifestyle of their families. For example, genetics may play a role in the manner in which people cope with stress, either mental, emotional or physical. For example, obesity is a very large problem in the United States[citation needed] that contributes to bad mental health and causes stress in a lot of people's lives. (One difficulty is the issue raised by the debate over the relative strengths of genetics and other factors; interactions between genetics and environment may be of particular importance.)


ประวัติศาสตร์จีน

ประวัติศาสตร์จีน


ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รองจากอารยธรรมอียิปต์
รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน ในยุคราชวงศ์กอณัฐ (ศตวรรษที่ 58 ก่อน ค.ศ.) ให้เป็นภาษากลางใช้ได้ทั่วประเทศ เป็นครั้งแรกในโลก (ไม่ว่าชนเผ่าใดๆจะพูดต่างกัน สำเนียงต่างกัน แต่ใช้ตัวเขียนเหมือนกัน) แนวคิดนี้ไปสู่ภาษาอังกฤษปัจจุบัน ที่อ่านเป็นภาษาเยอรมัน รัสเซีย สเปน แต่เขียนด้วยอักษรโรมัน และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ.สอนให้คนจีนทุกคนสำนึกว่าแผ่นดินที่ตัวเองเกิด อยู๋อาศัย คือแผ่นดินแม่ต้องตอบแทนแผ่นดิน ทำให้คนจีนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในอเมริกา ในยุโรป อยู่ร่วมกับคนชาติอื่นอย่างมีเสถียรภาพ เพราะใจของคนจีนส่วนใหญ่ต้องตอบแทนแผ่นดินที่ตัวอยู่อาศัย เป็น ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น (มองโกล แมนจู ญี่ปุ่น เป็นชนชาติมองโกลลอยด์หน้าคล้ายคนจีน ที่ไม่เขียน พูดภาษาจีน) วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย และในสังคมโลก เช่น สามก๊ก ซุนวู เครื่องปั้นดินเผา ไวน์ การสร้างสะพานแขวน เครื่องดนตรี กายกรรม การเดินเรือข้ามทวีป การพิมพ์หนังสือ เข็ม/เข็มทิศ การแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง (เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุน มองโกล ทิเบต ซินเกียง แมนจู) ซึ่งเป็นถิ่นที่ชนชาติ มองโกลลอยด์อยู่นั่นเอง แต่ไม่เขียนภาษาจีน
ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดนักว่าเริ่มต้นเมื่อไร แต่จากการขุดพบวัตถุโบราณตามลุ่มแม่น้ำฉางเจียงและหวางเหอ แบ่งช่วงเวลานี้ออกได้เป็นสังคมสองแบบ แบบแรกเป็นช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่เรียกว่าช่วงวัฒนธรรมหยางเซา และช่วงที่ผู้ชายเป็นใหญ่เรียกว่าวัฒนธรรมหลงซาน ตำนานเล่ากันว่าบรรพบุรุษจีนมีชื่อเรียกว่า หวางตี้ และ เหยียนตี้

สมัยก่อนประวัติศาสตร์[แก้]

  1. ยุคหินเก่า จีนเป็นดินแดนที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเชีย หลักฐานที่พบคือมนุษย์หยวนโหม่ว 元谋人(yuanmou man) มีอายุประมาณ 1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1965 ที่มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และ พบโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง 北京人 (bei jing ren) มีอายุประมาณ 700,000 ปี - 200,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1929 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่ง (北京西南周口店龙骨山山洞里) และ พบหลักฐาน มนุษย์ถ้ำ 山顶洞人 (shan ding dong ren)มีอายุประมาณ 18,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1930 ที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของปักกี่ง (北京西南周口店龙骨山顶部的山洞里)
  2. ยุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้วใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน ไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีการพบเครื่องถ้วยชาม หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหาร เครื่องมือหินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ หินสับ ขูด หัวธนู
  3. ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 ปี - 4,000 ปีล่วงมาแล้วเริ่มตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชน รู้จักเพาะปลูกข้าวฟ่าง เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา ในยุคหินใหม่นี้มีมนุษย์ทำเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามมากขึ้น และเขียนลายสี
  4. ยุคโลหะ มีอายุประมาณ 4,000 ปีล่วงมาแล้วหลักฐานที่เก่าสุดคือมีดทองแดง แล้วยังพบเครื่องสำริดเก่าที่สุด ซึ่งนำมาใช้ทำภาชนะต่าง ๆเช่น ที่บรรจุไวน์ กระถาง กระจกเงา มีขนาดใหญ่และสวยงาม มากโดยเฉพาะสมัยราชวงค์ชาง และ ราชวงค์โจว

เมืองหลวงของจีน[แก้]

ระยะการปกครองของจีนตั้งแต่ อดีต-ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนเมืองหลวง สามารถจำแนกเมืองหลวงได้ดังนี้
ผู้ปกครองเมืองหลวงปี
ราชวงศ์ซางอิน (殷)1350 ปีก่อน ค.ศ. - 1046 ปีก่อน ค.ศ.
ราชวงศ์โจวตะวันตกเฮา (鎬)1046 ปีก่อน ค.ศ. - 771 ปีก่อน ค.ศ.
ราชวงศ์โจวตะวันออกลั่วหยาง (洛陽)770 ปีก่อน ค.ศ. - 256 ปีก่อน ค.ศ.
ราชวงศ์ฉินเสียนหยาง (咸陽)221 ปีก่อน ค.ศ. - 206 ปีก่อน ค.ศ.
ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกฉางอาน (長安)206 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 9
ราชวงศ์ซินฉางอาน (長安)พ.ศ. 551 - พ.ศ. 566 (ค.ศ. 8 - ค.ศ. 23)
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกลั่วหยาง (洛陽)พ.ศ. 568 - พ.ศ. 737 (ค.ศ. 25 - ค.ศ. 194)
ราชวงศ์ฮั่นสมัยเฉาเชาซวี่ฉาง (许昌)พ.ศ. 737 - พ.ศ. 763 (ค.ศ. 194 - ค.ศ. 220)
ราชวงศ์จิ้นตะวันตกลั่วหยาง (洛陽)พ.ศ. 808 - พ.ศ. 859 (ค.ศ. 265 - ค.ศ. 316)
ราชวงศ์จิ้นตะวันออกเจียนขั่ง (建康)พ.ศ. 860 - พ.ศ. 963 (ค.ศ. 317 - ค.ศ. 420)
ราชวงศ์สุยต้าซิง (大興)พ.ศ. 1124 - พ.ศ. 1161 (ค.ศ. 581 - ค.ศ. 618)
ราชวงศ์ถังฉางอาน (長安)พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1450 (ค.ศ. 618 - ค.ศ. 907)
ราชวงศ์ซ่งเหนือไคฟง (開封)พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1670 (ค.ศ. 960 - ค.ศ. 1127)
ราชวงศ์ซ่งใต้หลินอัน (臨安)พ.ศ. 1670 - พ.ศ. 1822 (ค.ศ. 1127 - ค.ศ. 1279)
ราชวงศ์หยวนต้าตู (大都)พ.ศ. 1807 - พ.ศ. 1911 (ค.ศ. 1264 - ค.ศ. 1368)
ราชวงศ์หมิงนานกิง (南京)พ.ศ. 1911 - พ.ศ. 1963 (ค.ศ. 1368 - ค.ศ. 1420)
ราชวงศ์หมิงปักกิ่ง (北京)พ.ศ. 1963 - พ.ศ. 2187 (ค.ศ. 1420 - ค.ศ. 1644)
ราชวงศ์ชิงปักกิ่ง (北京)พ.ศ. 2187 - พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1644 - ค.ศ. 1911)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)ปักกิ่ง (北京)พ.ศ. 2455 - พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1912 - ค.ศ. 1928)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)นานกิง (南京)พ.ศ. 2471 - พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1928 - ค.ศ. 1937)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)อู่ฮั่น (武漢)พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1934 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)ฉงชิ่ง (重慶)พ.ศ. 2480 - 2488 (ค.ศ. 1937 - 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)นานกิง (南京)พ.ศ. 2488 - 2492 (ค.ศ. 1945 - 1949)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)กว่างโจว (廣州)พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) (ระหว่างสงครามกลางเมืองภายในจีน)
สาธารณรัฐจีน (2455-2492)ฉงชิ่ง (重慶)พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) - (ระหว่างสงครามกลางเมืองภายในจีน)
สาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวันไทเป (臺北)พ.ศ. 2492 - ปัจจุบัน
สาธารณรัฐประชาชนจีนปักกิ่ง (北京)พ.ศ. 2492 - ปัจจุบัน

ตารางแสดงช่วงเวลาของราชวงศ์และยุคในประวัติศาสตร์จีน[แก้]

  • ราชวงศ์จิ้น (晉) ค.ศ. 265 – 420 รวม 156 ปี แยกได้เป็น
    • จิ้นตะวันตก (西晉) ค.ศ. 265 – 316 รวม 52 ปี
    • จิ้นตะวันออก (東晉) ค.ศ. 317 – 420 รวม 103 ปี




The Yellow River is said to be the cradle of Chinese civilization, although cultures originated at various regional centers along both the Yellow River and the Yangtze River valleys millennia ago in the Neolithic era. With thousands of years of continuous history, China is one of the world's oldest civilizations.[1]
Written records of the history of China can be found from as early as 1200 BC under the Shang dynasty (c. 1700–1046 BC).[2] Ancient historical texts such as the Records of the Grand Historian (ca. 100 BC) and the Bamboo Annals describe a Xia dynasty, which had no system of writing on a durable medium, before the Shang.[2][3]
Much of Chinese culture, literature and philosophy further developed during the Zhou dynasty (1045–256 BC). The Zhou dynasty began to bow to external and internal pressures in the 8th century BC, and the kingdom eventually broke apart into smaller states, beginning in the Spring and Autumn period and reaching full expression in the Warring States period. This is one of multiple periods of failed statehood in Chinese history, the most recent being the Chinese Civil War that started in 1927.
Between eras of multiple kingdoms and warlordism, Chinese dynasties have ruled parts or all of China; in some eras control stretched as far as Xinjiang and Tibet, as at present. In 221 BC Qin Shi Huang united the various warring kingdoms and created for himself the title of "emperor" (huangdi) of the Qin dynasty, marking the beginning of imperial China. Successive dynasties developed bureaucratic systems that enabled the emperor to control vast territories directly. China's last dynasty was the Qing (1644–1912), which was replaced by the Republic of China in 1912, and in the mainland by the People's Republic of China in 1949.
The conventional view of Chinese history is that of alternating periods of political unity and disunity, with China occasionally being dominated by steppe peoples, most of whom were in turn assimilated into the Han Chinese population. Cultural and political influences from other parts of Asia and the Western world, carried by successive waves of immigration, expansion, foreign contact, and cultural assimilation are part of the modern culture of China.

ทวีปยุโรป

ทวีปยุโรป


ทวีปยุโรป มีฐานะเป็นทวีปทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในทางภูมิศาสตร์ ยุโรปเป็นอนุทวีปที่อยู่ทางด้านตะวันตกของมหาทวีปยูเรเชีย ยุโรปมีพรมแดนทางเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก ทางตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ทางใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ ด้านตะวันออกติดกับเทือกเขายูรัลและทะเลแคสเปียน[1]
ทวีปยุโรปมีพื้นที่ 10,600,000 ตร.กม. เล็กที่สุดเป็นอันดับสองรองจากทวีปออสเตรเลีย แต่มีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา ปี พ.ศ. 2546 ยุโรปมีประชากรราว 799,566,000 คน หรือประมาณ 1 ใน 8 ของประชากรโลก

ประเทศในทวีปยุโรป

ประเทศเมืองหลวงขนาดพื้นที่ (ตร.กม.)ประชากร (ล้านคน) (2551)
ธงชาติกรีซ กรีซเอเธนส์
130,463
11.2
ธงชาติโครเอเชีย โครเอเชียซาเกร็บ
55,882
4.4
ธงชาติเช็ก สาธารณรัฐเช็กปราก
78,864
10.4
ธงชาติซานมารีโน ซานมารีโนซานมารีโน
61
0.03
ธงชาติเซอร์เบีย เซอร์เบียเบลเกรด
88,361
12.1
ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์กโคเปนเฮเกน
42,593
5.5
ธงชาตินอร์เวย์ นอร์เวย์ออสโล
320,466
4.8
ธงชาติเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์อัมสเตอร์ดัม
41,019
16.4
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซาราเยโว
50,537
3.8
บัลแกเรีย บัลแกเรียโซเฟีย
109,627
7.6
เบลเยียม เบลเยียมบรัสเซลส์
30,164
10.7
เบลารุส เบลารุสมินสก์
205,194
9.7
โปรตุเกส โปรตุเกสลิสบอน
91,320
10.6
โปแลนด์ โปแลนด์วอร์ซอ
312,056
38.1
ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสปารีส
537,666
62.0
ฟินแลนด์ ฟินแลนด์เฮลซิงกิ
334,288
5.3
มอนเตเนโกร มอนเตเนโกรพอดกอรีตซา
91,320
10.6
มอลโดวา มอลโดวาคีชีเนา
13,812
0.6
มอลตา มอลตาวัลเลตตา
312
0.4
มาซิโดเนีย มาซิโดเนียสโกเปีย
25,416
2.0
โมนาโก โมนาโกโมนาโก
1.5
0.03
ยูเครน ยูเครนเคียฟ
597,007
46.2
เยอรมนี เยอรมนีเบอร์ลิน
352,914
82.2
รัสเซีย รัสเซียมอสโก
16,877,291
141.9
โรมาเนีย โรมาเนียบูคาเรสต์
234,749
21.5
ลักเซมเบิร์ก ลักเซมเบิร์กลักเซมเบิร์ก
2,555
0.5
ลัตเวีย ลัตเวียรีกา
63,851
2.3
ลิกเตนสไตน์ ลิกเตนสไตน์วาดุซ
160
0.04
ลิทัวเนีย ลิทัวเนียวิลนีอุส
64,445
3.4
นครรัฐวาติกัน นครรัฐวาติกันวาติกัน
0.5
0.0009
สเปน สเปนมาดริด
498,936
46.5
สโลวาเกีย สโลวาเกียบราติสลาวา
49,036
5.4
สโลวีเนีย สโลวีเนียลูบลิยานา
19,761
2.0
สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์เบิร์น
40,809
7.6
สวีเดน สวีเดนสตอกโฮล์ม
444,754
9.2
สหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรลอนดอน
241,275
61.3
ออสเตรีย ออสเตรียเวียนนา
82,885
8.4
อันดอร์รา อันดอร์ราอันดอร์ราลาเวลลา
448
0.1
อิตาลี อิตาลีโรม
297,789
59.9
เอสโตเนีย เอสโตเนียทาลลินน์
44,577
1.3
แอลเบเนีย แอลเบเนียติรานา
28,416
3.2
ไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์เรคยาวิก
101,809
0.3
ประเทศไอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ดับลิน
69,471
4.5
ฮังการี ฮังการีบูดาเปสต์
91,953
10.0
สหภาพยุโรป ทวีปยุโรป
10,600,000 1745.9069 2

  • 1 ไม่รวมรัสเซียตะวันออกไกล
  • 2 ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ

ทวีปยุโรป
Europe

จำนวนประเทศ50 ประเทศ
ขนาดพื้นที่10,180,000 ตารางกิโลเมตร
(3,930,000 ตารางไมล์)o[›]
ประชากร731,000,000o[›] (2009, 3rd)
ความหนาแน่นของประชากร70 ต่อตารางกิโลเมตร
(181 ต่อตารางไมล์)
ภาษาดูที่ List of languages


ลักษณะภูมิประเทศ


ลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญของทวีปยุโรป ได้แก่ ทางตะวันตกของฝรั่งเศส ทางตะวันออกของเกาะอังกฤษ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก
  1. เขตที่ราบสูง ได้แก่ ที่ราบที่อยู่ระหว่างที่ราบกับเขตเทือกเขา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางตอนกลางของทวีป มีพื้นที่ประมาณร้อยละ 25 ของทวีปยุโรป ได้แก่ บริเวณภาคตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส ภาคใต้ของเยอรมนีและโปแลนด์
  2. เขตเทือกเขาแบ่งออกเป็น 2 เขตใหญ่ ๆ คือ
  • เทือกเขาภาคเหนือ เป็นแนวเทือกเขาที่วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือกับตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เทือกเขาแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ในสกอตแลนด์ เวลส์ และเกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งมีขนาดเตี้ยและเกิดขึ้นมานานแล้ว
  • เทือกเขาภาคใต้ เป็นแนวเทือกเขาที่วางตัวในแนวตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งเทือกเขานี้มีขนาดสูงและยังเป็นเขตที่เปลือกโลกยังไม่สงบดี จึงเกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดอยู่บ่อย ๆ

 ภูมิภาค

 

ทวีปยุโรป แบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาคใหญ่ ๆ ได้แก่

ลักษณะภูมิอากาศ[แก้]

เขตอากาศของทวีปยุโรป สามารถแบ่งเป็น 7 เขตดังนี้
  1. เขตภูมิอากาศแบบทุนดรา หรืออากาศแบบขั้วโลก เป็นเขตอากาศที่หนาวเย็นจัดตลอดทั้งปี ส่วนฤดูร้อนสั้นประมาณ 1-2 เดือน อุณหภูมิเฉลี่ยของเขตนี้ เฉลี่ยทั้งปีไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ มอสส์ ตะไคร่น้ำ เขตอากาศทุนดราของทวีปยุโรป ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรสแกนดิเนเวียและบริเวณทางเหนือสุดของประเทศรัสเซีย
  2. เขตอากาศแบบกึ่งขั้วโลกหรือไทกา ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 6 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนมีระยะเวลายาวกว่าเขตภูมิอากาศแบบทุนดรา ปริมาณน้ำฝนทั้งปีอยู่ระหว่าง 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ คือ ป่าสนหรือป่าไทกา บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์
  3. เขตอากาศอบอุ่นชื้นภาคพื้นทวีป ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ ฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น เพราะอยู่ลึกเข้าไปในใจกลางทวีป จึงไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทร พืชพรรณธรรมชาติได้แก่ ป่าไม้ผลัดใบและไม่ผลัดใบผสมกัน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกน้อย พืชพรรณธรรมชาติจะเป็นทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ คือ ดินแดนของประเทศโปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย เอสโตเนีย และลัตเวีย
  4. เขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก ลักษณะของอากาศในเขตนี้ คือ ฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย ฤดูหนาวอากาศไม่หนาวจัด เพราะเขตนี้มีที่ตั้งอยู่ใกล้มหาสมุทร จึงได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เขตนี้มีอากาศอบอุ่น ชุ่มชื้น ฝนตกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของทั้งปีอยู่ที่ 750-1,500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าไม้เขตอบอุ่นชนิดป่าไม้ผลัดใบผสมกับป่าสน บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ครอบคลุมบริเวณของประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก เยอรมนี สหราชอาณาจักร และทางตอนใต้ของนอร์เวย์และสวีเดน
  5. เขตภูมิอากาศอบอุ่นชื้น ลักษณะอากาศของเขตนี้ คือ อากาศอบอุ่น ฤดูร้อนอากาศร้อน มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้เขตอบอุ่นหรือทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น บริเวณลักษณะอากาศแบบนี้ ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรบอลข่าน ออสเตรีย และฮังการี
  6. เขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี ฤดูร้อนอากาศร้อนและแห้งแล้ง ฤดูหนาวจะมีฝนตก ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 500-1,000 มิลลิเมตรต่อปี พืชพรรรณธรรมชาติเป็นเขตอบอุ่น เรียกว่า ป่าไม้เมดิเตอร์เรเนียน เช่น คอร์กโอ๊ก ส้ม มะนาว องุ่น มีป่าไม้มีหนามแหลม เรียกว่า ป่ามากี (maquis) บริเวณที่มีลักษณะอากาศแบบนี้ คือ บริเวณที่มีอาณาเขตติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้แก่ ภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปรตุเกส เซอร์เบีย และกรีซ
  7. เขตภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย ลักษณะสำคัญของอากาศในเขตนี้ คือ เป็นเขตที่มีปริมาณฝนน้อย ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 500 มิลลิเมตร พืชพรรณธรรมชาติเป็นทุ่งหญ้าขึ้นเบาบาง

อาชีพและทรัพยากร
  1. การเพาะปลูก เขตเพาะปลูกอยู่ในยุโรปตะวันตก ภาคตะวันออกและภาคใต้ของอังกฤษ ภาคเหนือและภาคตะวันตกของฝรั่งเศส ตอนเหนือของเยอรมนี ยูเครน พืชที่สำคัญคือ
    1. ข้าวสาลี ปลูกได้มากที่สุดคือ ยูเครน รองลงไปคือ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โรมาเนีย บัลแกเรีย เยอรมนี ฮังการี
    2. ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ถั่ว มันฝรั่ง ปลูกได้โดยทั่วไป
    3. องุ่น ส้ม มะกอก มะนาว แอปเปิลและผลไม้ชนิดต่างๆ ปลูกได้มากเขตอากาศแบบเมดิเตอร์เนียน ได้แก่ประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน กรีซ
    4. ต้นแฟล็กซ์ ใช้ใบทำป่านลินิน ปลูกมากในโปแลนด์ เบลเยียม ไอร์แลนด์
  2. การเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไปตามลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
    1. เขตทุนดรา มีการเลี้ยงกวางเรนเดียร์
    2. เขตทุ่งหญ้าสเตปป์ มีการเลี้ยงโคเนื้อ แพะ แกะ ม้า
    3. เขตเมดิเตอร์เรเนียน มีการเลี้ยงโคเนื้อ และแกะ
    4. เขตภูเขาสูง และที่ราบสูง มีการเลี้ยงโคเนื้อ โคนม แกะ
    5. เขตอบอุ่นชื้นตอนเหนือของคาบสมุทรบอลข่าน มีการเลี้ยงสุกรด้วยข้าวโพด
    6. เขตภาคพื้นสมุทรชายฝั่งตะวันตก มีการทำฟาร์มโคนม
  3. การทำป่าไม้ พบมากในประเทศฟินแลนด์ สวีเดน รัสเซีย นอร์เวย์ ในบริเวณป่าสน ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน นำมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษ
  4. การประมง แหล่งประมงที่สำคัญ ได้แก่
    1. ทะเลเหนือ โดยเฉพาะบริเวณที่กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติกเหนือบรรจบกับกระแสน้ำเย็นกรีนแลนด์ตะวันออก เกิดเป็นแหล่งที่มีปลาชุกชุมมากแห่งหนึ่งของโลกเรียกว่า ดอกเกอร์แบงก์ ประเทศที่จับปลาได้มาก สหราชาอาณาจักร ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์
    2. บริเวณอ่าวบิสเคย์จนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะบริเวณทะเลดำ ทะเลสาบแคสเปียนและแม่น้ำโวลกา มีการจับปลาสเตอร์เจียน มาทำเป็นไข่ปลาคาร์วียร์
  5. การทำเหมืองแร่ ยุโรปเป็นทวีปที่มีแร่เหล็กและถ่านหินอุดมสมบูรณ์
    1. ถ่านหิน แหล่งสำคัญอยู่ทางภาคเหนือของสหราชอาณาจักร ภาคกลางของเบลเยียม ลุ่มแม่น้ำรูห์ของเยอรมนี ภาคใต้ของโปแลนด์ ภาคเหนือของเช็ก สโลวัก ยูเครน ไซบีเรียของรัสเซีย
    2. เหล็ก แหล่งสำคัญคือ
      1. แหล่งคิรูนาและเยลีวาร์ทางตอนเหนือของสวีเดน
      2. แหล่งคริวอยร็อกในยูเครน
      3. แหล่งลอเรนซ์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส
    3. น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ แหล่งสำคัญของยุโรปอยู่ในบริเวณทะเลเหนือ และรอบๆทะเลสาบแคสเปียน
    4. บอกไซต์ เมื่อนำถลุงแล้วได้อะลูมิเนียม แหล่งผลิตสำคัญอยู่ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส ยูโกสลาเวีย ฮังการี เทือกเขาอูราลในรัสเซีย
    5. โพแทช ใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยและสบู่ แหล่งผลิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน รัสเซีย
  6. อุตสาหกรรม ยุโรปได้ชื่อว่าเป็นทวีปอุตสาหกรรม เพราะเกือบทุกประเทศประชากร ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม แหล่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ส่วนยุโรปตะวันออกอยู่ใน รัสเซีย ยูเครน เบลารุส
  7. การค้าขาย เนื่องจากยุโรปความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ทำให้ยุโรปมีการติดต่อค้าขายกับภูมิภาคอื่นและมีการตั้งกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น
    1. สหภาพยุโรป (EU-European Union)
    2. สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA-European Free Trade Association) ตลาดการค้าขายระหว่างประเทศ ได้แก่ ประเทศต่างๆที่อยู่ในยุโรปและประเทศอเมริกาเหนือ
  8. การคมนาคมขนส่ง ยุโรปเป็นทวีปที่มีการคมนาคมขนส่งเจริญก้าวหน้ามาก
    1. ทางรถยนต์ มีทางหลวงเชื่อมระหว่างเมือง เขตอุตสาหกรรมและประเทศต่างๆ มีระยะทางยาวประมาณ 1 ใน 5 ของทางรถยนต์ของโลก
    2. ทางรถไฟ ทวีปยุโรปมีทางรถไฟยาว 1 ใน 3 ของทางรถไฟในโลก ประเทศที่มีทางรถไฟยาวเมื่อเฉลี่ยต่อเนื้อที่แล้วมากที่สุด คือ เบลเยียม รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟคือ ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน วอร์ซอ มอสโก
    3. ทางอากาศ แต่ละประเทศต่างก็มีสายการบินเป็นของตนเอง ใช้ติดต่อระหว่างเมืองภายในประเทศ ระหว่างประเทศ และระหว่างทวีป ศูนย์กลางการบินส่วนใหญ่เป็นเมืองหลวงของแต่ละประเทศ
    4. ทางน้ำ แม่น้ำสำคัญที่ใช้ในการคมนาคมขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ได้แก่ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำเซน แม่น้ำดานูบ แม่น้ำโวลกา แม่น้ำโอเดอร์ และมีการขุดคลองเพื่อการคมนาคม เช่น คลองคีล ในเยอรมนี เชื่อมระหว่างทะเลบอลติกกับทะเลเหนือ คลองมีดีในฝรั่งเศสเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก